___noise___ 1000

วีเอ็มแวร์ ชูเทคโนโลยีแอปพลิเคชั่นใหม่ ควบรวมการทำงานคลาวด์ทุกประเภท

วีเอ็มแวร์

วีเอ็มแวร์ เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคลาวด์ทั้งไพรเวทและสาธารณะได้อย่างสะดวก สามารถช่วยลดต้นทุนการจัดการ รองรับการโยกย้ายแบบเบร็ดเสร็จได้อย่างรวดเร็ว พร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยผ่านเครื่องจักรเรียนรู้ที่จะปิดช่องว่างได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น คาดเปิดบริการโซลูชั่นใหม่ได้ ภายในปลายปีหน้านี้

นายเอกภาวิน สุขอนันต์ เป็นผู้จัดการประจำประเทศไทย วีเอ็มแวร์ เปิดเผยว่า ระบบวีเอ็มแวร์ คือส่วนที่ทำให้แอปพลิเคชั่นบนคลาวด์ทำงานได้คล่องตัวมากขึ้น ใช้งานระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการทำงานของ VMware จะช่วยให้สามารถควบรวมการทำงานดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิม ให้กลับขึ้นมาใช้งานบนคลาวด์ และสามารถควบรวมการทำงานระหว่าง 2 ระบบแบบไฮบริดเข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน

ขณะที่การผสานการทำงานระหว่างไพรเวทคลาวด์และคลาวด์สาธารณะ ก็สามารถวางแผนการทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความสามารถใหม่ด้านความปลอดภัย และความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ ช่วยให้ผู้ใช้งานวีเอ็มแวร์ สามารถเข้าไปสร้างเงื่อนไขด้านความปลอดภัยในระบบคลาวด์สาธารณะได้ ผ่านซอฟท์แวร์ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะของวีเอ็มแวร์

โดยโซลูชั่นของวีเอ็มแวร์ จะสามารถควบรวมเวิร์กโหลดระหว่าง คลาวด์ทั้งแบบไพรเวท และพรับบลิกคลาวด์ มาทำงานร่วมกันได้อย่างดีเยี่ยม โดยมีการทำงานร่วมกันระหว่างพาร์ทเนอร์ อีกทั้งยังสามารถใช้งานข้ามเพียร์ ได้อย่างง่ายดาย ทั้งนี้การเชื่อมต่อเพื่อสร้างเงื่อนไข เป็นการทำงานผ่านคลาวด์ของวีเอ็มแวร์ และส่งต่อไปสู่คลาวด์สาธารณะของพาร์ทเนอร์ โดยที่ไม่ได้มีการเข้าไปรบกวนระบบคลาวด์สาธารณะหลักแต่อย่างใด

VMware มองว่าแอปพลิเคชั่นจะเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคต ดังนั้นการทำงานเชิงโครงสร้างทั้งหมดจะต้องทำให้เป็นไฮบริด เพื่อสร้างการทำงานร่วมกัน แน่นอนว่าอนาคตของการสร้างแอปพลิเคชั่น จำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบ ซึ่งเมื่อไหร่ที่มีเวิร์คโหลดขึ้นเยอะจะสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างเหมาะสม สามารถช่วยจัดการต้นทุน ความปลอดภัย หรือแม้กระทั่งการจัดการเข้าถึงระบบ เพื่อสร้างระดับการทำงานได้อย่างครบถ้วน

นอกจากนั้นในเรื่องของความปลอดภัย VMware ยังมีแมชชีนเลิร์นนิ่งเพื่อช่วยตรวจสอบในเรื่องของความปลอดภัยในชั้นของแอปพลิเคชั่นและเน็ตเวิร์ก โดยจะมีการเรียนรู้ขั้นตอนการทำงานแบบปกติเพื่อสร้างเป็นรูปแบบกาทำงาน และเมื่อไหร่ที่พบว่าแอปพลิเคชั่นนั้นมีพฤติกรรมการทำงานผิดปกติจากเดิมที่บันทึกไว้ ระบบจะทำการแจ้งเตือนและป้องกันตามนโยบายที่วางไว้ทันที

ซึ่งที่ผ่านมา การค้นหาตัวคนร้าย จะใช้การเทียบเคียงจากอดีตที่ผ่านมา ทำให้การกระทำครั้งแรกของคนร้ายจะไม่สามารถตรวจจับได้ วันนี้การจับผิดเปลี่ยนมาดูพฤติกรรมเป็นหลักทำให้เมื่อเกิดการกระทำความผิดจะทำให้เราสามารถจับคนร้ายได้ แต่ก็เกิดปัญหาว่าจะต้องสร้างเงื่อนไขเพิ่มอยู่ตลอดเวลา และอาจจะก่อให้เกิดผลลวง ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาความประมาทในอนาคต

VMware จึงได้สร้างระบบที่ดูจากเจตนามากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถสร้างเงื่อนไขที่แคบลง โดยเป็นเงื่อนไขที่เกิดขึ้นจริง ผสานกับการทำงานของแมชชีนเลอร์นนิ่ง ที่จะเข้ามาช่วยสร้างและเรียนรู้พฤติกรรปกติ และเรียนรู้พฤติกรรที่ผิดปกติ

โกดิล็อกโซน เป็นคอนเซ็ปต์ของ VMware เพื่อบันทึกเจตนาของการทำงานตามพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริง โดยแอปพลิเคชั่นที่ทำงานปกติจะถูกบันทึกไว้ เพื่อสร้างให้เกิดเป็นข้อมูลพื้นฐาน ซึ่งเมื่อเกิดการแก้ไข และวีเอ็มแวร์จับได้ว่าแอปพลิเคชั่นมีการทำงานผิดปกติ วีเอ็มแวร์จะสามารถตอบสนองได้อย่างทันทีในหลากหลายรูปแบบ

อีกทั้งยังมารถป้องกันตัวเองจากการโจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แน่นอนว่าการป้องกันจากเดิมจะทำการปิดกั้นเพื่อไม่ให้เกิดการใช้งานความผิดพลาด แต่วีเอ็มแวร์ จะสามารถป้องกันในระดับเชิงลึก มากกว่าที่ระบบจะเจาะเข้าถึง ซึ่งเป็นข้อดีของการควบคุมทั้งระบบของวีเอ็มแวร์นั่นเอง

อีกทั้ง AppDefense ของวีเอ็มแวร์ จะเริ่มการเรียนรู้พฤติกรรม โดยเมื่อมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นนอกจากจะมีการเรียกหาการยืนยันจากนักพัฒนาแล้ว จะใช้การเปรียบเทียบพฤติกรรมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และความปลอดภัยของระบบนี้ยังสามารถทำงานควบคู่กับระบบรักษาความปลอดภัยของรายอื่นๆควบคู่กันได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดิม

วันนี้การทำงานบนระบบคลาวด์ สามารถบริหารจัดการได้ทั้ง 2 ทาง โดยจะตอบสนองการทำงานได้ตรงความต้องการมากขึ้น ทั้งการทำงานแบบไพรเวทและคลาวด์สาธารณะ โดยสามารถยกระบบของเดิมและคลาวด์เบสขึ้นไปอยู่บนระบบและใช้งานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น ในทุกระดับและทุกเลเยอร์

โดยโซลูชั่นใหม่นี้มีการใช้งานจริงแล้วในรัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีลูกค้า เมโทรนิกส์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำด้านอุปกรณ์การแพทย์ สร้างระบบคลาวด์บน AWS ซึ่งจากการใช้งานโซลูชั่นนี้ เมโทรนิกส์ สามารถสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ภายใน 4 ชั่วโมง เท่านั้น นับเป็นการปฏิวัติวงการคลาวด์ ที่มีความคล่องตัวมากที่สุด

ทั้งนี้ วีเอ็มแวร์ ยังมี HCX Technology ที่มีการเปิดตัวในยุโรป ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถสั่งการย้ายจากไพรเวทไปสู่คลาวด์สาธารณะได้อย่างรวดเร็ว โดยจะเปิดให้ใช้จริงในช่วงปลายปี แน่นอนว่าการโยนทั้งระบบที่สามารภออพติไมได้แบบทุ้งระบบ ช่วยให้การทำงานรวดเร็วและพร้อมใช้งานทันที

โดย วีเอ็มแวร์ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาการใช้งานคลาวด์ให้เกิดความสะดวกมากที่สุด สามารถไมเกรด หรือเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างระบบได้อย่างแนบเนียน รองรับการทำงานได้แบบยืดหยุ่นมากขึ้น เช่นในกรณีที่ต้องการใช้งานมากขึ้นก็สามารถจัดการงบได้บางช่วงเวลา ตามที่ต้องการ ซึ่งเมื่อเสร็จแล้วก็จะสามารถย้ายกลับมาเพื่อประหยัดงบประมาณได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้วีเอ็มแวร์มีพาร์ทเนอร์เข้าร่วมมากกว่า 4 พันราย ซึ่งเชื่อว่าเมื่อลูกค้าใช้งานแล้ว ก็จะสามารถใช้งานระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะที่ทิศทางของแอปพลิเคชั่น เริ่มมีการแตกตัวออกเป็นไมโครเซอร์วิสต์ แทนที่จะต้องแก้ไขทั้งก้อนเมื่อต้องการอัปเกรด ลูกค้าสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขในแต่ละโมดูลได้อย่างนวดเร็ว การแก้ไข การพัฒนา จะเริ่มมีขนาดที่เล็กลง สามารถแก้ไขได้รวดเร็วขึ้น ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบน้อยลง

แน่นอนว่า VMware มีการพัฒนาระบบและเชื่อมโยงการบริการทั้งหมดของไมโครโมดูล ตามความต้องการของลูกค้า เพื่อตอบโจทย์การใช้งานผ่านโวลูชั่น Pivotal Container Service ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการช่วงปลายปีหน้า

อีกทั้ง VMware ยังได้ร่วมมือกับ AWS เพิ่อร่วมกันพัฒนา laas และ VMware ร่วมมือกับ Pivotal และกูเกิล ในการเปิดตัว Container (Paas) รวมไปถึงการจับมือกับ Azure เพื่อสร้างระบบเวอชัวร์ ให้สามารถรับไมโครซอฟท์แพลตฟอร์มเพื่อการทำงานในทุกระบบปฏิบัติการได้คล่องตัวมากขึ้น

ขณะที่ ไอดีซี คาดการว่าองค์กรจะมีการจ่ายค่าระบบรักษความปลอดภัยกว่า 81.7 พันล้านเหรียญในปี 2017 เพื่อรักษาความสเถียรของระบบให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

banner Sample

Related Posts