จับตาการฟื้นตัว ศัลยกรรมความงามไทย หลังยุคโควิด 19

จับตาการฟื้นตัว ศัลยกรรมความงามไทย หลังยุคโควิด 19

ศัลยกรรมความงามไทย

ช่วงวิกฤตโควิดที่ผ่านมาแม้ว่าทั่วโลกต่างให้ความสนใจในระบบสาธารณสุขกันอย่างล้นหลาม แต่กระนั้นอุตสาหกรรม “ศัลยกรรมความงามไทย” ที่แม้ว่าก่อนยุคโควิดคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท กลับต้องมาติดลบในช่วงวิกฤตเฉกเช่นเดียวกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาโควิด วันนี้ TheReporterAsia จะชวนมาสำรวจความพร้อมของ “อุตสาหกรรมศัลยกรรมความงามไทย” หลังยุคโควิดที่เชื่อว่าจะกลับมาคึกคักอีกครั้งทั้งจากชาวไทยและต่างชาติ ผ่านมุมมองของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง และผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลบางมด เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีจุดแข็งและมีศักยภาพเรื่องศัลยกรรมตกแต่งเป็นอย่างมาก จนชาวต่างชาติให้การยอมรับ เห็นได้ชัดจากการเข้ามาทำศัลยกรรมเพิ่มขึ้นกว่า 30% ในช่วงที่ผ่านมา ด้วยเพราะผลลัพธ์ของการทำศัลยกรรมที่เห็นความเปลี่ยนเเปลงชัดเจน ประกอบกับเทคนิคทางการเเพทย์ที่ทำให้การผ่าตัดศัลยกรรมไม่ยุ่งยากเเละปลอดภัย

ที่สำคัญคือความน่าเชื่อถือของศัลยเเพทย์เเละประสบการณ์ ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยของโรงพยาบาล เเละราคาที่จับต้องได้ เชื่อว่าในอนาคตประเทศไทยจะสามารถก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผ่าตัดศัลยกรรมความงามโลกได้อย่างแน่นอน

ทิศทาง ศัลยกรรมความงามไทย ในสายตาชาวต่างชาติ

ศัลยกรรมความงามที่ชาวต่างชาติมาทำกันมากจะเป็น ศัลยกรรมดึงหน้า เพราะผลลัพธ์ที่สามารถทำให้ดูลดอายุได้จริง ริ้วรอยและความหย่อนคล้อยต่าง ๆ หายไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ซึ่งมีผิวที่ค่อนข้างบาง รูปทรงใบหน้าที่แคบ เมื่ออายุมากขึ้น หรือมีริ้วรอย ความหย่อนคล้อย จะทำให้เห็นผลลัพธ์จากการผ่าตัดได้อย่างชัดเจน ซึ่งที่ผ่านมาผลลัพธ์ของการผ่าตัดดึงหน้าที่ศูนย์ศัลยกรรความงามโรงพยาบาลบางมด จะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ตึงกระชับขึ้น มองเห็นจากสายตาได้ว่าใบหน้าดูเด็กลง อายุดูลดลง (เฉลี่ยประมาณ 10-15 ปี) แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่ด้วยว่าก่อนผ่าตัด มีลักษณะของใบหน้า ริ้วรอยความหย่อนคล้อยมากน้อยเพียงใด

ศัลยกรรมความงามไทย

นอกจากนี้แล้วศัลยกรรมหน้าอก ก็เป็นอีกประเภทศัลยกรรมที่ชาวต่างชาติมาทำกันมาก ด้วยสรีระร่างกายที่มีความแตกต่าง หากเป็นชาวเอเชียหรือชาวไทย อาจเลือกทำศัลยกรรมเสริมหน้าอก แต่สำหรับชาวต่างชาติจะมีปัญหาเลือกความหย่อนคล้อยไม่กระชับ รวมทั้งการมีขนาดของหน้าอกที่ใหญ่เกินไป ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน จึงเลือกมาทำศัลยกรรม โดยแบ่งเป็น ยกกระชับหน้าอก (Mastopexy), การเสริมร่วมกับการยกกระชับหน้าอก (Augmentation+Mastopexy) และลดขนาดหน้าอก (Breast Reduction) โดยที่ศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลบางมด ก็มีให้บริการครอบคลุมครบทุกด้าน

ด้วยความน่าเชื่อถือและประสบการณ์ของศัลยแพทย์ไทย ประกอบกับเทคนิคที่คิดค้นและพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์ทุกปัญหาเรื่องความงาม ภายใต้ความปลอดภัยในมาตรฐานระดับสากล อีกทั้งในเรื่องของราคาแล้ว ศัลยกรรมไทยก็ยังคงเป็นที่ต้องการและตอบโจทย์ให้กับทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จึงยิ่งเป็นเรื่องที่ตอกย้ำได้กับคำว่า “ศัลยแพทย์ไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก” อย่างไรก็ตามหากได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ผลักดันและช่วยประชาสัมพันธ์ เชื่อว่าประเทศไทยจะต้องเป็นศูนย์กลางศัลยกรรมความงามของเอเชียได้อย่างแน่นอน

ทั้งนี้ศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลบางมด กำลังเตรียมความพร้อมเพื่อรุกขยายฐานกลุ่มเป้าหมายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ด้วยการขยายศูนย์ศัลยกรรมความงามแห่งใหม่บนถนนพระราม 2 เพื่อเป็นศูนย์กลางศัลยกรรมความงามแห่งเอเชีย (Surgical Hub of Asia) รองรับการทำศัลยกรรมความงามทุกรูปแบบ ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัย อุปกรณ์ทางการแพทย์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อการเข้ารับบริการอันทรงคุณค่าและสร้างความประทับใจที่เหนือกว่า “ให้การทำศัลยกรรมเปรียบเสมือนของขวัญล้ำค่าในชีวิต”

โดยจะมุ่งเน้นการพัฒนาเทคนิคการทำศัลยกรรมให้ดีและตอบโจทย์ความต้องการอย่างตรงจุด เพื่อเปลี่ยนมุมมองการทำศัลยกรรมให้เป็นเรื่องที่ไม่น่ากลัว ด้วยเทคนิคที่พัฒนาตามคอนเซ็ปต์ “แผลเล็ก เจ็บน้อย หายเร็ว ผลลัพธ์ให้ความเป็นธรรมชาติ” ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัย จากมือของศัลยเเพทย์ที่น่าเชื่อถือ ซึ่งการทำศัลยกรรมไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมด สามารถเลือกทำได้ในส่วนที่มีปัญหาอย่างแท้จริง โดยศัลยแพทย์จะทำการวิเคราะห์อย่างลงลึก ก่อนจะทำการผ่าตัด ดังนั้นผลลัพธ์ที่ดีจะตอบโจทย์ความต้องการอย่างตรงจุด ผลลัพธ์อยู่ตลอดไปอย่างยาวนาน ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้เกิดการบอกต่อประสบการณ์ของตนเองอย่างจริงใจ

ศัลยกรรมความงามไทย

ซึ่งในภาพรวมโรงพยาบาลบางมด มีความเชี่ยวชาญด้านการทำศัลยกรรมดึงหน้า ด้วยเทคนิคเฉพาะที่เรียกว่า “New Modern Facelift” ในการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยของใบหน้าให้กับคนไข้ และเทคนิค “Modern Facelift” เทคนิคพิเศษในการเลือกแก้ไขความความหย่อนคล้อยเฉพาะจุดได้ ส่งผลให้ได้รับความนิยมทั้งจากคนไทยและต่างชาติ ด้วยสัดส่วนผู้ป่วยคนไทยราว 80% และชาวต่างชาติ 20%

อุตสาหกรรมศัลยกรรมความงามของประเทศไทย ในปี 2560 มีมูลค่าราว 3 หมื่นล้านบาท ปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่า 3.6 หมื่นล้านบาท และปี 2562 เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 4 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปี 2563 ก่อนการระบาดของโควิด 19 มีการประเมินกันว่าจะมีมูลค่าราว 4.5 หมื่นล้านบาท แต่กลับต้องมาติดลบหลังการปิดประเทศเพื่อเข้าสู่โหมดการกักกันโรคของทุกประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ลูกค้าต่างชาติที่เข้ามารับบริการศัลยกรรมความงามในประเทศไทยทั้งจาก กัมพูชา ออสเตรเลีย ลาว และเมียนมา ไม่สามารถเดินทางเข้ามาได้ จนเกิดภาวะหยุดชะงักของอุตสาหกรรม

Related Posts