กรุงเทพฯ – ASEFA ผนึก Schneider Electric จัดงานสัมมนา Partner of the Future ชูจุดแข็งระบบจัดการพลังงาน ตอบโจทย์ Data Center ยุค AI คาดการณ์ตลาด Data Center ไทยโต 3-4 เท่าใน 3 ปี พร้อมเผย 10% ของรายได้ 3,500 ล้านบาทจะมาจาก Data Center ในอนาคตอาจจะขยายได้ถึง 30% พร้อมทุ่ม 450ล้านบาท สร้างอาคารและโรงงานเพิ่มรองรับการเติบโต
- – หัวเว่ย คลาวด์ คว้าตำแหน่ง “ผู้ท้าชิง” ใน Gartner Magic Quadrant™ ด้าน Cloud DBMS ปี 2024
- – TERA เปิดตัวบริการ T.Cloud Gen3 ที่สุดแห่งบริการคลาวด์โดยคนไทย
อาซีฟา จำกัด (มหาชน) หรือ ASEFA ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์จ่ายไฟฟ้าชั้นนำของประเทศไทย จัดงานสัมมนา “Partner of the Future Crafting of Data Center Solution with Susutainable Energy” ร่วมกับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำระดับโลกด้านการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ โดยมีลูกค้าเข้าร่วมงานกว่า 200 ราย เพื่อนำเสนอโซลูชั่นและเทคโนโลยีล่าสุดสำหรับ Data Center ยุคใหม่ พร้อมชูจุดแข็งด้านการจัดการพลังงาน รองรับการเติบโตของตลาด Data Center ในประเทศไทยที่คาดว่าจะขยายตัวอย่างก้าวกระโดดจากการมาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
นายไพบูลย์ อังคณากรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ASEFA ดำเนินธุรกิจมากว่า 27 ปี โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์จ่ายไฟฟ้า ตั้งแต่ Medium Voltage, Low Voltage รวมถึงอุปกรณ์ควบคุมต่างๆ ครอบคลุมทั้งในส่วนของอาคารสำนักงาน โรงงานอุตสาหกรรม และระบบสาธารณูปโภค ปัจจุบัน ASEFA มีความพร้อมอย่างยิ่งในการรองรับการขยายตัวของตลาด Data Center ด้วยสินค้าและโซลูชั่นที่ครบวงจร รวมถึงทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ พร้อมให้บริการติดตั้ง ดูแล และซ่อมบำรุง ตลอดจนการสร้างอาคารอเนกประสงค์และส่วนของอาคารโรงงานอีก 1 แหล่ง มูลค่ากว่า 450 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของงานในอนาคต
“ASEFA มีสินค้าและโซลูชั่นต่างๆ ในเรื่องของการกระจายไฟฟ้า, Medium Voltage, Low Voltage, Control รวมถึงระบบบริหารจัดการต่างๆ ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ เชื่อว่า Data Center รูปแบบใหม่ที่มีการใช้ไฟมหาศาลและมีระบบที่ซับซ้อน เรามีสินค้าที่ครบครันและมีซอฟต์แวร์ในการบริหารจัดการพลังงาน ซึ่งถือว่าครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด” นายไพบูลย์กล่าว
ด้านนายเผดิมศักดิ์ รัตนเรืองศักดิ์ รองประธานฝ่ายธุรกิจเพาเวอร์โพรดักส์ ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวว่า ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และ ASEFA เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันมายาวนานกว่า 21 ปี โดยสินค้าภายใต้แบรนด์ชไนเดอร์หลายรายการถูกผลิตขึ้นที่โรงงานของอาซีฟา ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งสองบริษัทมุ่งมั่นพัฒนา ปรับตัว เพื่อเพิ่มเสถียรภาพและความปลอดภัยของระบบไฟฟ้า ครอบคลุมการใช้งานในหลากหลายกลุ่มลูกค้า อาทิ อาคาร โรงแรม โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า โรงงานอุตสาหกรรม และระบบสาธารณูปโภค
“ในปีนี้ทางชไนเดอร์เล็งเห็นว่ากลุ่มตลาด Data Center โดยเฉพาะในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีการใช้งานและเติบโตมากขึ้น เราเชื่อมั่นว่าการจับมือร่วมกันระหว่างอาซีฟาและชไนเดอร์จะช่วยตอกย้ำและผลักดันให้ตลาด Data Center มีการลดการใช้พลังงานมากขึ้น เรามองถึงเรื่องของ Sustainability มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของเราทั้งสองคน” นายเผดิมศักดิ์กล่าว
นายเผดิมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ชไนเดอร์มีสินค้าในกลุ่ม EcoStruxure ทั้งตู้ Low Voltage, Medium Voltage, UPS, ไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งแบบโมดูลา และแบบ prefabricated รวมถึงเทคโนโลยี UPS ที่มีคุณสมบัติ high density สูงสำหรับ AI ดาต้าเซ็นเตอร์โดยเฉพาะ และ UPS อื่นๆ ที่เหมาะสมกับแต่ละความต้องการด้านโครงสร้างไอที นวัตกรรมระบบทำความเย็นหลากหลายรูปแบบ ฯลฯ
รวมถึงซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่ใช้บริหารจัดการการใช้พลังงานในอาคารต่างๆ โดยเฉพาะตู้ MDB ที่ทำหน้าที่ช่วยกระจายพลังงานออกไปใช้งานตามส่วนต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ Data Center ได้ถึง Tier 4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของการใช้พลังงานของ Data Center รวมถึงในเรื่องของ Edge Computing ก็สามารถช่วยในการบริหารจัดการทรัพยากรบน Cloud ได้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานให้ได้มากที่สุด
สำหรับการจัดงานสัมมนาในครั้งนี้ มุ่งเน้นการถ่ายทอดองค์ความรู้ในเรื่องของ Data Center ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน โดยมีการนำเสนอเทคโนโลยี Data Center ล่าสุด ไม่ว่าจะเป็น Micro Data Center, Modular Data Center เทรนด์ใหม่ของ Data Center รวมถึง UPS และนวัตกรรมในแง่ของการทำระบบหล่อเย็น (Cooling System) ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญและชไนเดอร์ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
“ผมมั่นใจว่าการผสานความร่วมมือกันระหว่างอาซีฟาและชไนเดอร์จะช่วยผลักดันและสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ต่อยอดความยั่งยืนให้รองรับกับความต้องการด้านการใช้พลังงานในยุคดิจิทัล” นายเผดิมศักดิ์กล่าวเสริม
ทั้งนี้ นายไพบูลย์ คาดการณ์ว่า ตลาด Data Center ในประเทศไทยจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการนำ AI มาใช้งาน ซึ่งต้องใช้พลังงานอย่างมหาศาล โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการ Data Center กว่า 10 รายที่จ่อเข้ามาลงทุนในประเทศไทย มีทั้งขนาดเล็ก (x เมกะวัตต์) ขนาดกลาง (xx เมกะวัตต์) และขนาดใหญ่ (xxx เมกะวัตต์) โดยบางรายมีการใช้พลังงานเทียบเท่ากับหนึ่งตำบลหรือหนึ่งจังหวัดขนาดย่อม
“ในส่วนของความร่วมมือนั้น ทั้งชไนเดอร์และอาซีฟามีโซลูชั่นที่ครอบคลุมการใช้งาน Data Center รูปแบบใหม่ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้นในหลัก 10 หรือ 100 เมกะวัตต์” นายไพบูลย์กล่าว
ในด้านของการจัดการพลังงานไฟฟ้า นายไพบูลย์ กล่าวว่า ระบบจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพใน Data Center ยุคใหม่จะช่วยลดต้นทุนจากเดิมได้ประมาณ 4-5% ขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ ทั้งการออกแบบ, Scale ของ Data Center และระบบ Cooling โดยเฉพาะระบบ Cooling ที่ใช้ AI หรือ Liquid Cooling ซึ่งจะประหยัดพลังงานได้มากกว่าเทคโนโลยีเดิม ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่นายเผดิมศักดิ์กล่าวถึง คือ การเลือกใช้โซลูชั่นจากแบรนด์เดียวกัน ทั้งในส่วนของอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการเลือกใช้สินค้าจากหลายแบรนด์
นอกจากนี้ นายไพบูลย์ยังมองว่า การเข้ามาของ Data Center ยุคใหม่ที่ใช้พลังงานเป็นหลัก จะไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างราคาพลังงานของประเทศไทย เนื่องจากปัจจุบันมีพลังงานทดแทน และรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุน รวมถึงการบริหารจัดการพลังงาน
“ถ้า Data Center มาจริงก็จะมาพร้อมกับคู่แข่ง ทั้งจากสิงคโปร์ จีน และบริษัทอื่นๆ แต่ผมถือว่าเรามีความพร้อมในทุกๆ ด้านมากที่สุดที่จะรองรับตลาดนี้” นายไพบูลย์กล่าว
นายไพบูลย์ คาดการณ์ว่า 10% ของรายได้ 3,500 ล้านบาทในอนาคตของ ASEFA จะมาจาก Data Center และภายใน 3 ปีข้างหน้า ตลาด Data Center จะมีการเติบโต 3-4 เท่า โดย ASEFA มีทีมวิศวกรกว่า 250 คน ซึ่งพร้อมรองรับการเติบโตของตลาด โดยมีลูกค้าหลัก ได้แก่ การไฟฟ้า สนามบิน และโครงการต่างๆ รวมถึง Data Center
“ผมมั่นใจว่าตลาดยังเติบโต เราก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามการเติบโต คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับ Data Center เท่านั้น อะไรที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน, รถไฟฟ้า, ท่าเรือ, รถไฟ, สนามบิน ล้วนต้องใช้ไฟฟ้า การปรับปรุงการใช้พลังงานให้ทันสมัยและประหยัดพลังงานเป็นสิ่งจำเป็น” นายไพบูลย์กล่าวทิ้งท้าย
#ASEFA #SchneiderElectric #DataCenter #AI #Sustainability #พลังงาน #ระบบไฟฟ้า #นวัตกรรม #เทคโนโลยี #เศรษฐกิจดิจิทัล