กรุงเทพฯ – นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย ชี้ สตาร์ทอัพไทย เผชิญ “สงครามล่าอาณานิคมไร้กำลัง” จากแพลตฟอร์มต่างชาติ แนะ 3 กลยุทธ์ “คนเก่ง-เงินทุนกล้าเสี่ยง-ตลาดไทยเฟิร์ส” สร้างโอกาสเติบโตในยุค AI Economy
- – สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย เปิดตัว ‘สารานุกรมธุรกิจสตาร์ทอัพ’
- – กสิกรไทยประกาศความสำเร็จ โครงการ KATALYST SCALEUP 2024 เสริมพลังสตาร์ทอัพไทยสู่ความสำเร็จในระดับใหม่
นายธนวิชญ์ ต้นกันยา นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย กล่าวในงานเปิดตัว ‘สารานุกรมธุรกิจสตาร์ทอัพ’ ถึงสถานการณ์ของ สตาร์ทอัพไทย ในปัจจุบันว่า กำลังเผชิญกับ “สงครามล่าอาณานิคมไร้กำลัง” จากแพลตฟอร์มต่างชาติ ที่เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทย ส่งผลให้เม็ดเงินมูลค่ามหาศาลไหลออกนอกประเทศ
นายธนวิชญ์ กล่าวว่า “วันนี้ไม่ใช่แค่ สตาร์ทอัพไทย แต่ทุกอุตสาหกรรมในประเทศไทยกำลังเจอกับสงครามล่าอาณานิคมแบบไม่ใช้กำลัง สมัยก่อนสงคราม เราเจอรถถัง เครื่องบินรบ แต่วันนี้เขาเข้ามาด้วยแพลตฟอร์มต่างชาติ เงินเราไหลออกไปต่างประเทศปีละเป็นหมื่นล้าน”
นายธนวิชญ์ ชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในการเริ่มต้นของสตาร์ทอัพไทย เทียบกับประเทศคู่แข่งอย่างสิงคโปร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของเม็ดเงินลงทุน ขณะที่สิงคโปร์ลงทุนในสตาร์ทอัพระดับเริ่มต้น (Early Stage) ถึง 50 ล้านบาท แต่สตาร์ทอัพไทยกลับได้รับเงินลงทุนเพียง 5 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความ chary ในการลงทุนของภาครัฐและเอกชน
“เราอยากเห็นนวัตกรรม แต่ไม่กล้าเสี่ยง เพราะนวัตกรรมไม่ใช่ว่าทำวันนี้พรุ่งนี้ใช้ได้เลย มันคือการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง จนกว่าจะสำเร็จ ระหว่างทางมีความเสี่ยง เราจะกล้าเสี่ยงกันมากขึ้นอย่างไร” นายธนวิชญ์ กล่าว
นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย เสนอ 3 กลยุทธ์สำคัญในการพัฒนาสตาร์ทอัพไทยให้สามารถแข่งขันได้ในยุค AI Economy ได้แก่
1. พัฒนาคน: หน่วยงานต่างๆ ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร ถ่ายทอดองค์ความรู้จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน
2. แหล่งเงินทุนต้องกล้าเสี่ยงมากขึ้น: นายธนวิชญ์ ยกตัวอย่างประเทศจีน ที่กล้าทุ่มเงินมหาศาลลงทุนในแพลตฟอร์มต่างๆ แม้จะขาดทุน เพื่อรักษาฐานลูกค้า SME
3. เข้าถึงตลาด: ภาคธุรกิจไทยควรมีนโยบาย “ไทยแลนด์เฟิร์ส” สนับสนุนและเลือกใช้สินค้าและบริการจากสตาร์ทอัพไทย เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโต
นอกจากนี้ นายธนวิชญ์ ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของ “Accelerator” ในการบ่มเพาะสตาร์ทอัพ โดยระบุว่า ปัจจุบัน Accelerator ในไทยยังมีจำนวนน้อย และเสนอให้ดึง Accelerator ระดับโลกอย่าง Y Combinator หรือ Google Accelerator เข้ามาช่วยพัฒนาศักยภาพของสตาร์ทอัพไทย
“การดึง Accelerator ระดับโลกเข้ามา เปรียบเสมือนการดึงคนเก่งๆ เข้ามาสร้างประเทศ หน่วยงานภาครัฐควรให้การสนับสนุน เพราะนี่คือการลงทุนเพื่อสร้างทรัพยากรบุคคล ไม่ใช่แค่การจ่ายเงินเพื่อสตาร์ทอัพระยะเริ่มต้น” นายธนวิชญ์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มของสตาร์ทอัพในอนาคต นายธนวิชญ์ มองว่า ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพต้องมีวิสัยทัศน์ มองเห็นโอกาสในอนาคต และไม่ควรเดินตามรอยต่างชาติ แต่ต้องมองหาจุดแข็งของตัวเอง และสร้างสรรค์นวัตกรรมที่แตกต่าง
“วันนี้โลกเปลี่ยนจากยุค Analog สู่ยุค Digital Economy และกำลังก้าวเข้าสู่ยุค AI Economy เราต้องมีวิสัยทัศน์ มองเห็นโอกาสในอนาคต ไม่ใช่แค่ทำตามต่างชาติ เราต้องหาจุดแข็งของเรา โอกาสของเราอยู่ตรงไหน” นายธนวิชญ์ กล่าวทิ้งท้าย
#สตาร์ทอัพไทย #เศรษฐกิจดิจิทัล #AI #นวัตกรรม #ลงทุน #Accelerator #YCombinator #GoogleAccelerator #ไทยแลนด์เฟิร์ส #สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย