อาลีบาบา คลาวด์ ประกาศเปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่สองในประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการให้บริการคลาวด์ที่ตอบโจทย์ธุรกิจไทยยุคดิจิทัล พร้อมรองรับการเติบโตของ Generative AI และสนับสนุนนโยบายภาครัฐ
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป เดินหน้าขยายการลงทุนในประเทศไทย ประกาศเปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่สองอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ณ กรุงเทพมหานคร การลงทุนครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย และความต้องการบริการคลาวด์คอมพิวติ้งที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อรองรับการใช้งานแอปพลิเคชัน Generative AI ที่กำลังเป็นที่นิยม
การเปิดดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่นี้ นับเป็นการสานต่อความสำเร็จของอาลีบาบา คลาวด์ หลังจากเปิดให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2565 และเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านบริการคลาวด์ระดับแนวหน้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วย availability zone ทั้งหมด 86 แห่ง ใน 28 ภูมิภาคทั่วโลก
นายฌอน หยวน รองประธานฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศ และผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และภูมิภาคแปซิฟิกใต้ ของอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวถึงการเปิดตัวครั้งนี้ว่า “ดาต้าเซ็นเตอร์ล่าสุดของเรานี้ เป็นการเสริมแกร่งความมุ่งมั่นของเราในการให้บริการคลาวด์ที่เชื่อถือได้ ปลอดภัย และทรงประสิทธิภาพ ที่ปรับให้ตรงตามความต้องการของธุรกิจในประเทศไทย เราเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโครงสร้างพื้นฐานในประเทศเพื่อมุ่งเสริมศักยภาพให้องค์กรในการใช้ศักยภาพของเทคโนโลยีคลาวด์ให้ได้สูงสุด โดยเฉพาะกับแอปพลิเคชัน Generative AI”
ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่นี้ จะช่วยให้อาลีบาบา คลาวด์ สามารถให้บริการผลิตภัณฑ์คลาวด์คอมพิวติ้งที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งการประมวลผลแบบยืดหยุ่น (elastic computing), สตอเรจ, ฐานข้อมูล, ความปลอดภัย, ผลิตภัณฑ์ด้านเน็ตเวิร์ก, การวิเคราะห์ข้อมูล และบริการด้าน AI ต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีโซลูชันเฉพาะทางที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายของแต่ละอุตสาหกรรม เช่น ฟินเทค สื่อ เทคโนโลยี และค้าปลีก
ไฮไลท์สำคัญ:
- Cloud-native vector engine ของ AnalyticDB: ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างโซลูชันที่ดึงข้อมูลองค์ความรู้แบบเรียลไทม์ (RAG) เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านแอปพลิเคชัน LLM ที่ปรับแต่งได้ เช่น การพัฒนาแชทบอท และเครื่องมือแนะนำผลิตภัณฑ์
- Alibaba Cloud Container Compute Service (ACS): ลดความยุ่งยากในการใช้งาน Kubernetes ช่วยให้ธุรกิจปรับขนาดการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระการจัดการโครงสร้างพื้นฐาน และควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น
- โซลูชันเฉพาะอุตสาหกรรม: ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจในหลากหลายภาคส่วน เช่น Workspace Elastic Desktop Service (EDS), โซลูชัน eKYC, สมรรถนะในการพัฒนา SuperApp และโซลูชันด้านความยั่งยืนที่ขับเคลื่อนด้วย AI
ความร่วมมือกับพันธมิตรและลูกค้าในประเทศไทย:
อาลีบาบา คลาวด์ ได้ร่วมมือกับองค์กรชั้นนำในประเทศไทยหลายแห่ง เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในหลากหลายอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น:
- ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป: ใช้เทคโนโลยีฐานข้อมูลและคอนเทนเนอร์ของอาลีบาบา คลาวด์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความเสถียร และความสามารถในการปรับขนาดของแพลตฟอร์มด้านพลังงาน
- เยลล์ กรุ๊ป: ร่วมมือกันพัฒนา AI-Deate แพลตฟอร์มสตอรี่บอร์ดที่ใช้ AI เพื่อปฏิวัติเวิร์กโฟลว์เชิงสร้างสรรค์
- โคเดียม: ใช้โครงสร้างพื้นฐานของอาลีบาบา คลาวด์ เพื่อสร้างรากฐานดิจิทัลให้กับธุรกิจในประเทศไทย
- ไวท์แชนแนล: ใช้บริการสตรีมมิ่งวิดีโอครบวงจรของอาลีบาบา คลาวด์ เพื่อให้บริการวิดีโอออนดีมานด์คุณภาพสูง
นายดิศรา อุดมเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เยลล์ กรุ๊ป กล่าวว่า “ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับอาลีบาบา คลาวด์ ในครั้งนี้ช่วยให้เราใช้ประโยชน์จากความสามารถที่ล้ำหน้าของ AI และเปลี่ยนวิธีที่เราใช้เสริมพลังให้งานครีเอทีฟต่าง ๆ เราจะร่วมกันกำหนดนิยามใหม่ให้กับงานด้านความคิดสร้างสรรค์ทั่วทั้งเอเชียและที่อื่น ๆ”
นายศิวบุธ อัมพุช ซีอีโอของโคเดียม กล่าวเสริมว่า “ความร่วมมือกับอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยให้เรามอบโซลูชันที่ทำงานดิจิทัลที่ปรับขนาดได้และยืดหยุ่นให้ลูกค้าของเราได้ โครงสร้างพื้นฐานของอาลีบาบา คลาวด์ ไม่เพียงสนับสนุนการเติบโตของเรา แต่ยังช่วยให้เราสามารถให้บริการลูกค้าธุรกิจไทยที่มีความต้องการอย่างเฉพาะเจาะจงได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
นายชวลิต เอื้อเฟื้อ หัวหน้าฝ่ายไอที ของไวท์แชนแนล กล่าวถึงการร่วมมือครั้งนี้ว่า “การทำงานร่วมกับอาลีบาบา คลาวด์ ได้ช่วยเพิ่มความสามารถของเราในการให้บริการวิดีโอไปยังผู้ชมอย่างราบรื่นเป็นอย่างมาก เทคโนโลยีล้ำสมัยของอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยให้เรามั่นใจว่า ผู้ชมของเราจะได้รับคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูงทุกที่ทุกเวลา”
การส่งเสริมระบบนิเวศและความสามารถด้านดิจิทัล:
นอกเหนือจากการให้บริการลูกค้าแล้ว อาลีบาบา คลาวด์ยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลในประเทศไทย โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เพื่อจัดอบรมหลักสูตรด้านคลาวด์คอมพิวติ้งและ Generative AI
อาลีบาบา คลาวด์ ยังได้เปิดตัว global skills center แห่งแรกที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อให้บริการฝึกอบรม บูธแคมป์ การแข่งขันด้าน AI และโปรแกรมพัฒนาความเป็นผู้นำ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้ การเปิดดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่สองของอาลีบาบา คลาวด์ในประเทศไทย ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โซลูชันที่ตอบโจทย์ และความร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง อาลีบาบา คลาวด์ พร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจไทย และผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลในภูมิภาค
#AlibabaCloud #DataCenter #GenerativeAI #DigitalTransformation #Thailand #CloudComputing #AI #Innovation #TechNews #เศรษฐกิจดิจิทัล