บกปภ.ช. ลดระดับภัยแผ่นดินไหวเป็นระดับ 2 สถานการณ์คลี่คลาย แต่ยังเฝ้าระวัง

บกปภ.ช. ลดระดับภัยแผ่นดินไหวเป็นระดับ 2 สถานการณ์คลี่คลาย แต่ยังเฝ้าระวัง

กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) ประกาศลดระดับการจัดการสาธารณภัยจากเหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาที่ส่งผลกระทบต่อไทย จากระดับ 3 (ขนาดใหญ่) เป็นระดับ 2 (ขนาดกลาง) หลังประเมินสถานการณ์คลี่คลาย ระบบสาธารณูปโภคและการใช้ชีวิตประชาชนเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ มอบอำนาจบัญชาการเหตุการณ์ให้ผู้ว่าฯ กทม. และผู้ว่าฯ จังหวัด ขณะที่ บกปภ.ช. ยืนยันยังคงติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ประสานการช่วยเหลือและฟื้นฟูต่อเนื่องจนกว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติเต็มรูปแบบ ด้านการค้นหาผู้รอดชีวิตใต้ซากอาคาร สตง. ยังดำเนินไปอย่างเข้มข้น แม้ผ่านพ้น 72 ชั่วโมง

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 เวลา 09.30 น. ณ ห้องกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณสุข ได้มีการประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์ ผลกระทบ และความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยที่ประชุมได้รับทราบการประกาศลดระดับการจัดการสาธารณภัยจากระดับ 3 (ขนาดใหญ่) ซึ่งอยู่ภายใต้การบัญชาการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ลงมาเป็นระดับ 2 (ขนาดกลาง) ซึ่งเป็นการส่งมอบอำนาจการบัญชาการเหตุการณ์ในพื้นที่กลับไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตามลำดับขั้นของแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ

นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เปิดเผยถึงรายละเอียดว่า สืบเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวบนบก ขนาด 8.2 แมกนิจูด ที่มีความลึก 10 กิโลเมตร บริเวณประเทศเมียนมา เมื่อเวลา 13.20 น. ของวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา แรงสั่นสะเทือนได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างมายังประเทศไทย สร้างความเสียหายในหลายพื้นที่ ทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้

จากสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลได้ตระหนักถึงความรุนแรงและผลกระทบที่เกิดขึ้น จึงได้ประกาศยกระดับการจัดการสาธารณภัยกรณีแผ่นดินไหวนี้ขึ้นเป็น การจัดการสาธารณภัยขนาดใหญ่ (ระดับ 3) โดยมอบหมายให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ เพื่อระดมสรรพกำลังและทรัพยากรในการรับมือและแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่และทันท่วงที

อย่างไรก็ตาม นายภาสกร กล่าวว่า หลังจากที่ บกปภ.ช. ได้ประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พบว่าปัจจุบันสถานการณ์โดยรวมได้คลี่คลายลงไปมากแล้ว ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ได้รับการแก้ไขและบรรเทาความเดือดร้อนไปพอสมควร ทั้งในด้านการฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ไฟฟ้า ประปา และการซ่อมแซมเส้นทางคมนาคมที่ได้รับความเสียหาย รวมถึงการช่วยเหลือด้านปัจจัยพื้นฐาน ทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้แล้ว

ด้วยเหตุนี้ บกปภ.ช. จึงได้พิจารณาและประกาศลดระดับการจัดการสาธารณภัยจากระดับ 3 ลงมาเป็นระดับ 2 (ขนาดกลาง) ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 – 2570 โดยอำนาจในการสั่งการ ควบคุม และบัญชาการเหตุการณ์ในพื้นที่รับผิดชอบ จะกลับไปอยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดในแต่ละจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

“แม้ว่าจะมีการลดระดับการจัดการสาธารณภัยลงแล้ว แต่ บกปภ.ช. และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จะยังคงมีการประชุมติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นซ้ำหรือเหตุการณ์สืบเนื่อง พร้อมทั้งประสานการปฏิบัติงานกับหน่วยงานในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การสนับสนุนการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยอย่างเต็มที่ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายและกลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างสมบูรณ์” นายภาสกร กล่าวเน้นย้ำ

สำหรับสถานการณ์ล่าสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 จากการติดตามข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่ายังคงมีอาฟเตอร์ช็อก (Aftershock) เกิดขึ้นบนรอยเลื่อนสะกายในประเทศเมียนมาอย่างต่อเนื่อง รวมแล้วกว่า 200 ครั้ง แต่ขนาดของอาฟเตอร์ช็อกเหล่านี้อยู่ในระดับที่ไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ส่วนสภาพอากาศในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พบว่าในช่วงเช้ามีฝนตกเล็กน้อย และคาดการณ์ว่าในช่วงบ่ายอาจมีฝนตกเพิ่มมากขึ้น รวมถึงมีแนวโน้มที่จะมีฝนตกต่อเนื่องในพื้นที่กรุงเทพฯ อีก 2-3 วันข้างหน้า ซึ่งอาจส่งผลต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในบางพื้นที่

ในส่วนของการดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครนั้น ด้านสภาพการจราจร ยังคงมีการปิดเส้นทางสัญจรจำนวน 3 จุด เพื่อความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ได้แก่

  1. ถนนประชาราษฎร์สาย 1 ตั้งแต่ซอย 14 ถึงแยกบางโพ
  2. ถนนกำแพงเพชร 2 ทั้งขาเข้าและขาออก
  3. ถนนกำแพงเพชร 4 ตลอดทั้งเส้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดที่ 2 และ 3 เป็นการปิดเส้นทางเพื่อให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยสามารถเข้าถึงพื้นที่ปฏิบัติการได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น

ด้านการตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารบ้านเรือนในกรุงเทพมหานคร ข้อมูล ณ วันที่ 30 มีนาคม 2568 พบว่าได้มีการตรวจสอบอาคารไปแล้วสะสมจำนวน 355 แห่ง ผลการตรวจสอบเบื้องต้นจำแนกเป็นอาคารที่อยู่ในเกณฑ์สีแดง (มีความเสี่ยงสูง ต้องห้ามเข้า) จำนวน 2 อาคาร, อาคารเกณฑ์สีเหลือง (มีความเสียหาย ต้องเฝ้าระวังและตรวจสอบโดยละเอียด) จำนวน 68 อาคาร, อาคารเกณฑ์สีเขียว (ปลอดภัย หรือเสียหายเล็กน้อย ไม่กระทบโครงสร้าง) จำนวน 217 อาคาร และยังคงมีอาคารที่อยู่ระหว่างรอผลการรายงานอีก 68 อาคาร ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครได้ขอความร่วมมือไปยังนิติบุคคลอาคารชุดและอาคารต่างๆ ให้ช่วยดำเนินการสำรวจภาพรวมความเสียหายเบื้องต้นของอาคารและพื้นที่ส่วนกลาง หากพบรอยร้าวหรือความผิดปกติที่น่าสงสัย ให้รีบดำเนินการแจ้งข้อมูลผ่านระบบ Traffy Fondue เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบโดยละเอียดต่อไป

ในส่วนของศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้ประสบภัย ปัจจุบันกรุงเทพมหานครยังคงเปิดให้บริการ 1 แห่ง คือ ที่ศูนย์บริการผู้สูงอายุดินแดง ซึ่งสามารถรองรับประชาชนได้ประมาณ 70 คน ขณะนี้มีผู้ประสบภัยเข้าพักอาศัยชั่วคราวจำนวน 22 คน

สำหรับภารกิจที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและเข้มข้น คือ การค้นหาผู้รอดชีวิตและผู้เสียชีวิตที่อาจติดค้างอยู่ภายใต้ซากอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและได้พังถล่มลงมาจากเหตุแผ่นดินไหว แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยผ่าน 72 ชั่วโมงแรกไปแล้ว ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการค้นหาผู้รอดชีวิต แต่เจ้าหน้าที่จากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งทีมกู้ภัย แพทย์ ทหาร ตำรวจ และอาสาสมัคร ยังคงมุ่งมั่นปฏิบัติการค้นหาอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยความหวังที่จะพบผู้รอดชีวิต

ด้านการตรวจสอบอาคารในภาพรวมทั่วประเทศ กรมโยธาธิการและผังเมืองได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก กลุ่มแรกคือ อาคารของหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบแล้ว 124 อาคาร ใน 38 หน่วยงาน ผลปรากฏว่ามีอาคารที่สามารถเข้าใช้งานได้ตามปกติ 117 อาคาร และมีอาคารที่พบความเสียหายในระดับปานกลาง แต่ยังคงสามารถใช้งานได้อยู่ 7 อาคาร กลุ่มที่สองคือ อาคารประเภทอื่นๆ เช่น อาคารที่มีทางเชื่อมระหว่างอาคาร อาคารสูง คอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้า และอาคารของภาคเอกชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาคารที่มีการตรวจสอบความปลอดภัยตามวงรอบประจำปีอยู่แล้ว

กรมโยธาธิการฯ ได้ประสานให้เจ้าของอาคารดำเนินการให้ผู้ตรวจสอบอาคารที่ได้รับใบอนุญาตและดำเนินการตรวจสอบเป็นประจำอยู่แล้ว เข้าตรวจสอบซ้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ หากผู้ตรวจสอบมีจำนวนไม่เพียงพอ หรือต้องการการสนับสนุนทางเทคนิค สามารถประสานขอความช่วยเหลือมายังกรมโยธาธิการและผังเมืองได้ ส่วนอาคารในพื้นที่ต่างจังหวัด กรมโยธาธิการและผังเมืองได้สั่งการให้สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดทุกแห่ง ดำเนินการตรวจสอบอาคารในพื้นที่รับผิดชอบตามแนวทางเดียวกับที่ปฏิบัติในส่วนกลาง

นอกจากนี้ ยังมีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเครนขนาดใหญ่ที่ล้มบริเวณทางด่วนด่านดินแดง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจราจรอย่างมาก โดยเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการรื้อถอนและเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนเครนบางส่วนออกจากพื้นที่เกิดเหตุเรียบร้อยแล้ว ทำให้สามารถเปิดการจราจรบนทางด่วนให้ประชาชนใช้สัญจรได้ตามปกติเมื่อเวลา 05.00 น. ของเช้าวันที่ 31 มีนาคม 2568 ส่วนเครนในส่วนที่เหลือ จะมีการประชุมวางแผนเพื่อดำเนินการรื้อถอนต่อไปให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด

ทางด้าน นางสาวชัชดาพร บุญพีระณัช รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้กล่าวเสริมในที่ประชุมว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้เน้นย้ำไปยังทุกจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งดำเนินการรายงานความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยให้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ เพื่อเร่งสำรวจความเสียหายและจัดทำบัญชีความเสียหายให้ครบถ้วนในทุกมิติ ซึ่งข้อมูลนี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพิจารณาให้ความช่วยเหลือประชาชนตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่กำหนด ให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และเป็นธรรม

พร้อมกันนี้ ขอให้มีการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนผู้ประสบภัย ได้ทราบถึงสิทธิที่ตนเองจะได้รับตามหลักเกณฑ์การช่วยเหลือต่างๆ อย่างชัดเจน ตลอดจนให้หน่วยงานและจังหวัดต่างๆ รายงานผลการดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูเข้ามายัง บกปภ.ช. อย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายกลับสู่ภาวะปกติ และหากพื้นที่ใดมีความต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นกำลังคน เครื่องมือ หรือทรัพยากรใดๆ ในการปฏิบัติงาน ขอให้แจ้งความประสงค์มายัง บกปภ.ช. ได้ทันที ซึ่งทางส่วนกลางพร้อมที่จะประสานงานและให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลังความสามารถ

ท้ายที่สุดนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ขอยืนยันว่าจะยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังในทุกพื้นที่ที่ประสบภัย จะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประสานการให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง หากประชาชนท่านใดยังคงได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว หรือต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านช่องทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ1784” โดยเพิ่มเพื่อนทาง Line ID @1784DDPM

#แผ่นดินไหว #บกปภช #ปภ #กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย #ลดระดับภัยพิบัติ #ช่วยเหลือผู้ประสบภัย #ฟื้นฟู #กรุงเทพ #อาคารถล่ม #สตง #ดินแดง #ตรวจสอบอาคาร #ข่าวภัยพิบัติ

Related Posts