Subaru และ Suzuki สองค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นได้ประกาศหยุดสายการผลิตในไทย สร้างความกังวลให้กับวงการยานยนต์ไทย โดยสาเหตุหลักมาจากยอดขายที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยหันมานิยมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากกว่ารถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ซึ่งเป็นประเภทรถยนต์หลักที่ Subaru และ Suzuki ผลิต
- – ยูนิลีเวอร์ เผยเคล็ดลับ โรงงานเกตเวย์ ใช้พลังงานหมุนเวียน 100%
- – ซูซูกิ ปิดโรงงานไทย ประกาศเงียบ ๆ แต่สะเทือนวงการ
Krungthai COMPASS ประเมินว่าการหยุดสายการผลิตนี้อาจส่งผลกระทบต่อยอดผลิตรถยนต์โดยรวมของไทยในปี 2568 ให้ลดลงราว 5,000-6,500 คัน แม้ว่าผลกระทบต่อภาพรวมอาจจะยังไม่รุนแรงนัก เนื่องจากสัดส่วนการผลิตของทั้งสองค่ายไม่สูงมาก แต่ก็ถือเป็นสัญญาณเตือนถึงความท้าทายที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเผชิญ
Krungthai COMPASS มองว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ Subaru และ Suzuki ตัดสินใจหยุดสายการผลิตในไทยมาจาก การปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดรถยนต์
- ความต้องการรถยนต์ ICE ลดลง: ผู้บริโภคไทยหันมาสนใจรถยนต์พลังงานทางเลือก เช่น HEV (Hybrid Electric Vehicle) และ EV (Electric Vehicle) มากขึ้น ในขณะที่ Subaru และ Suzuki ยังคงเน้นการผลิตรถยนต์ ICE เป็นหลัก ทำให้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปได้ ส่งผลให้ยอดขายและส่วนแบ่งตลาดลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
- การแข่งขันที่รุนแรงจากรถยนต์ BEV (Battery Electric Vehicle): รถยนต์ BEV โดยเฉพาะจากจีน เช่น BYD และ GWM เข้ามาตีตลาดในประเทศไทยและตลาดส่งออก นำเสนอรถยนต์ BEV คุณภาพสูงในราคาที่แข่งขันได้ นอกจากนี้ Tesla และแบรนด์รถยนต์ BEV ระดับโลกอื่นๆ ก็ขยายตลาดเข้ามาในไทยเช่นกัน ทำให้ Subaru และ Suzuki ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
- ภาวะสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน: สหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าจีน รวมถึงรถยนต์ BEV ซึ่งอาจทำให้จีนต้องหาตลาดส่งออกอื่นแทน ทำให้การแข่งขันในตลาดรถยนต์ไทยยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
- ผลกระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วน: การเติบโตของตลาดรถยนต์ BEV ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ICE เนื่องจากรถยนต์ BEV ใช้ชิ้นส่วนน้อยกว่ารถยนต์ ICE ถึง 10 เท่า ชิ้นส่วนที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ เครื่องยนต์ ท่อไอเสีย และหัวฉีด
ผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่อง: ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ Subaru และ Suzuki ประสบปัญหาขาดทุนสะสมต่อเนื่องรวมกันถึง 3,781 ล้านบาท ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2562-2566) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การตัดสินใจหยุดสายการผลิตในไทย
นอกจากนี้ การตัดสินใจครั้งนี้ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ดีลเลอร์รถยนต์ ซึ่งอาจต้องปรับตัวด้วยการกระจายความเสี่ยงไปเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้ออื่นๆ หรือมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในขณะที่เต็นท์รถมือสองอาจต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านราคาและกำไรที่ลดลง
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต้องปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งอาจเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัวได้ทัน
Krungthai COMPASS มองว่าการปิดโรงงานของSubaru และ Suzuki ในไทยเป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาแทนที่ของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ผลิตและผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายและโอกาสที่กำลังจะเกิดขึ้น
สำหรับผู้ผลิต
- การปรับตัวสู่รถยนต์ไฟฟ้า: ผู้ผลิตรถยนต์ ICE แบบดั้งเดิมจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อผลิตรถยนต์ EV หรือพลังงานทางเลือกอื่นๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไป
- การแข่งขันกับผู้ผลิตจากจีน: ผู้ผลิตรถยนต์ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ผลิตรถยนต์ EV จากจีน ซึ่งมีราคาที่แข่งขันได้และคุณภาพที่สูง
- การปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ: ผู้ผลิตอาจต้องทบทวนและปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ เช่น การหาตลาดส่งออกใหม่ การร่วมมือกับพันธมิตร หรือการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
สำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วน
- การพัฒนาชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์ EV: ผู้ผลิตชิ้นส่วนต้องปรับตัวเพื่อผลิตชิ้นส่วนที่ใช้ในรถยนต์ EV ซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- การลดต้นทุนการผลิต: เนื่องจากรถยนต์ EV ใช้ชิ้นส่วนน้อยกว่ารถยนต์ ICE ผู้ผลิตชิ้นส่วนอาจต้องหาวิธีลดต้นทุนการผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้
สำหรับตัวแทนจำหน่าย (ดีลเลอร์)
- การกระจายความเสี่ยง: ดีลเลอร์ควรพิจารณาเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หลายยี่ห้อ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพายี่ห้อเดียว
- การให้บริการหลังการขาย: เนื่องจากผู้บริโภคอาจมีความกังวลเกี่ยวกับบริการหลังการขายของรถยนต์ที่นำเข้า ดีลเลอร์จึงควรให้ความสำคัญกับการให้บริการหลังการขายที่มีคุณภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า
- การปรับตัวสู่ตลาดรถยนต์ EV: ดีลเลอร์ควรเตรียมความพร้อมในการขายและให้บริการรถยนต์ EV ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น
สำหรับเต็นท์รถมือสอง
- การปรับกลยุทธ์การตั้งราคา: เต็นท์รถอาจต้องปรับกลยุทธ์การตั้งราคาเพื่อรับมือกับแรงกดดันด้านราคาจากรถยนต์มือหนึ่งที่ลดลง
- การกระจายความเสี่ยง: เต็นท์รถควรกระจายความเสี่ยงโดยรับซื้อรถยนต์หลากหลายยี่ห้อ ไม่ควรพึ่งพายี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งมากเกินไป
สำหรับผู้บริโภค
- การศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ: ผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์ EV และรถยนต์ ICE อย่างละเอียด เพื่อให้สามารถเลือกซื้อรถยนต์ที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณ
- การเปรียบเทียบราคา: ผู้บริโภคควรเปรียบเทียบราคารถยนต์จากหลายๆ แหล่ง ทั้งรถยนต์ใหม่และรถยนต์มือสอง เพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด
การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัวและมองหาโอกาสใหม่ๆ จะสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ในยุคของรถยนต์ไฟฟ้า
#Subaru #Suzuki #KrungthaiCOMPASS #รถยนต์ไฟฟ้า #อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย