จับตา แผนบริหารหนี้สาธารณะ ปี 2568 ก่อหนี้ใหม่กว่า 1.2 ล้านล้านบาท

จับตา แผนบริหารหนี้สาธารณะ ปี 2568 ก่อหนี้ใหม่กว่า 1.2 ล้านล้านบาท

ทำเนียบรัฐบาล, ประเทศไทย – ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติ แผนบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ (คณะกรรมการฯ) เสนอ โดยมีวงเงินก่อหนี้ใหม่สูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

แผนบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ประกอบด้วย 3 แผนหลัก ได้แก่

  1. แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินรวม 1,204,304.44 ล้านบาท แบ่งเป็น

    • การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 865,700 ล้านบาท
    • การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติมปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 145,000 ล้านบาท  
    • การกู้เงินเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานผ่านรัฐวิสาหกิจ 105,681.62 ล้านบาท
  2. แผนการบริหารหนี้เดิม วงเงินรวม 1,783,889.64 ล้านบาท โดยเน้นการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้รัฐบาลที่ครบกำหนดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และ พ.ศ. 2569-2572

  3. แผนการชำระหนี้ วงเงินรวม 489,110.70 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการชำระหนี้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

โดยการก่อหนี้ใหม่ในปีงบประมาณ 2568 ส่วนใหญ่จะนำไปใช้ในการชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชน นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

สำหรับแผนความต้องการเงินกู้ระยะปานกลาง 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 – 2572) คณะกรรมการฯ ได้อนุมัติโครงการลงทุนรวม 108 โครงการ วงเงินลงทุนรวม 776,046.73 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง พลังงาน และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงควบคุมระดับหนี้สาธารณะให้อยู่ในกรอบความยั่งยืนทางการคลัง โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP คาดว่าจะไม่เกิน 65% ซึ่งเป็นไปตามกรอบวินัยทางการคลังที่กำหนดไว้

ประเด็นที่น่าจับตาใน แผนบริหารหนี้สาธารณะ ปี 2568

  • การบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจ: มีรัฐวิสาหกิจ 4 แห่ง ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) การเคหะแห่งชาติ (กคช.) และบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) ที่มีอัตราส่วนความสามารถในการหารายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการ (Debt Service Coverage Ratio : DSCR) ต่ำกว่า 1 เท่า ซึ่งต้องได้รับการดูแลและติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันปัญหาหนี้สินของรัฐวิสาหกิจ  
  • ประสิทธิภาพการลงทุน: รัฐบาลต้องมุ่งเน้นการลงทุนในโครงการที่มีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งต้องมีระบบติดตามและประเมินผลการลงทุนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย: แม้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกจะอยู่ในช่วงขาลง แต่รัฐบาลยังต้องเฝ้าระวังความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาระดอกเบี้ยจ่ายของประเทศ

#หนี้สาธารณะ #เศรษฐกิจไทย #การคลัง #โครงสร้างพื้นฐาน #รัฐวิสาหกิจ

Related Posts