กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – เทเลนอร์ เอเชีย (Telenor Asia) เปิดเผยรายงาน “Digital Lives Decoded” ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2567 ชี้คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือสูงสุดในภูมิภาค เฉลี่ยเกือบ 5 ชั่วโมงต่อวัน แม้กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว แต่ยังคงนิยมความสะดวกสบายมากกว่าการใช้เครื่องมือป้องกันภัยไซเบอร์ ขณะเดียวกัน พบคนไทยมอง AI ในแง่บวก แต่การใช้งานในที่ทำงานยังมีสัดส่วนน้อย
- – ออเนอร์ เผย HONOR X9c Series ยอดขายพุ่งทะลุเป้า 7.4 เท่า
- – Realme ร่อนแถลงการณ์ ขออภัย กรณีแอปพลิเคชัน “สินเชื่อความสุข”
มานิชา โดกรา รองประธานอาวุโส ฝ่ายสัมพันธ์ภายนอกและความยั่งยืน เทเลนอร์ เอเชีย กล่าวว่า เทเลนอร์ เอเชีย ให้ความสำคัญกับการรับฟังความคิดเห็นของลูกค้าเกี่ยวกับการใช้บริการมาโดยตลอด รายงาน “Digital Lives Decoded” จัดทำขึ้นเป็นปีที่ 3 โดยสำรวจพฤติกรรมการใช้งานโทรศัพท์มือถือของผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชีย เพื่อนำข้อมูลเชิงลึกมาพัฒนาบริการให้ตอบโจทย์การใช้งานในยุคดิจิทัล
เนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปีของเทเลนอร์ในประเทศไทย Telenor Asia จึงได้มอบหมายให้ GWI บริษัทวิจัยผู้บริโภคระดับโลก ทำการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตบนมือถือในประเทศไทย โดยเน้นศึกษาพฤติกรรมทั่วไป และการรับรู้ การใช้งาน และการปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI
คนไทยใช้มือถือสูงสุดในภูมิภาค
ผลสำรวจพบว่า คนไทยเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตบนมือถือสูงสุดในภูมิภาค โดยใช้เวลาเฉลี่ยเกือบ 5 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่ประเทศไทยมีการใช้งานสมาร์ทโฟนครอบคลุมเกือบ 100% แตกต่างจากประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ผู้ใช้งานมักเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือแล็ปท็อปมากกว่า
นอกจากนี้ กลุ่มคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ (อายุ 61-64 ปี) ของไทย ยังใช้เวลาบนมือถือเฉลี่ยเกือบ 4 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งสูงกว่ากลุ่มเบบี้บูมเมอร์ในประเทศอื่นๆ ที่ทำการสำรวจ
คนไทยใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อการเชื่อมต่อกับสังคม ความบันเทิง การเรียนรู้ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และบริการธนาคาร/บริการทางการเงิน สะท้อนให้เห็นว่า โทรศัพท์มือถือไม่ใช่แค่เครื่องมือสื่อสาร แต่เป็นประตูสู่ไลฟ์สไตล์ดิจิทัลอย่างแท้จริง
“Privacy Paradox” : กังวลความเป็นส่วนตัว แต่ไม่ใช้เครื่องมือป้องกัน
ผลสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 1 ใน 2 คน กังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยเฉพาะการหลอกลวงทางการเงิน และการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ยังคงเลือกความสะดวกสบายของการใช้งานอินเทอร์เน็ต โดยไม่นิยมใช้เครื่องมือป้องกัน เช่น VPN หรือ Ad Blocker ซึ่งเทเลนอร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Privacy Paradox”
ทั้งนี้ Privacy Paradox เป็นปรากฏการณ์ที่ผู้คนกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลออนไลน์ แต่กลับไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อป้องกันตนเอง คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าขาดการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลบนโลกออนไลน์ และกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามต่างๆ เช่น การหลอกลวงทางการเงิน แต่พวกเขากลับเลือกที่จะเชื่อใจผู้ให้บริการ และยอมแลกข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อแลกกับความสะดวกสบาย
โดยสาเหตุของ Privacy Paradox อาจมาจากหลายปัจจัย เช่น ขาดความตระหนักรู้ถึงความเสี่ยง ความยุ่งยากในการใช้เครื่องมือป้องกัน หรือการให้ความสำคัญกับประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นมากกว่าความปลอดภัย
ขณะที่ผลกระทบของ Privacy Paradox คือ ผู้ใช้อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะตกเป็นเหยื่อของภัยคุกคามทางไซเบอร์ และอาจสูญเสียการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลในระยะยาว ดังนั้น การส่งเสริมความตระหนักรู้ การพัฒนาเครื่องมือป้องกันที่ใช้งานง่าย และการสร้างสมดุลระหว่างความสะดวกสบายและความปลอดภัย จึงเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ปัญหา Privacy Paradox
คนไทยมอง AI ในแง่บวก แต่ยังไม่แพร่หลายในที่ทำงาน
ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มอง AI ในแง่บวก และเชื่อว่า AI มีผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและชีวิตส่วนตัวมากกว่าผลกระทบเชิงลบ ปัจจุบัน คนไทยใช้ AI ในชีวิตประจำวันผ่านโซเชียลมีเดีย ความบันเทิง และกิจกรรมต่างๆ แต่มีเพียง 21% ที่ใช้ AI ในการทำงาน ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
จากรายงาน Digital Lives Decoded ฉบับล่าสุด พบว่า ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตชาวไทยเกือบครึ่ง มองว่า AI เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่น่าตื่นเต้นที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่น Gen X และ Baby Boomers ที่แสดงความตื่นเต้นมากกว่ากลุ่ม Gen Z และ Millennials เสียอีก
ทั้งนี้ 77% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่า กำลังใช้เครื่องมือ AI อยู่แล้ว โดยส่วนใหญ่ใช้เพื่อความบันเทิง เช่น โซเชียลมีเดีย (50%) และแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง (40%) แม้ว่า 85% เชื่อว่า AI จะส่งผลดีต่อการศึกษาในประเทศไทย แต่มีเพียง 20% เท่านั้นที่ใช้ AI เพื่อการทำงาน
เทียบกับประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์แล้ว ประเทศไทยยังตามหลังในเรื่องการนำ AI มาใช้ในที่ทำงาน โดยผู้ที่ใช้ AI เพื่อทำงาน มีแนวโน้มที่จะเชื่อมั่นในข้อมูลที่สร้างโดย AI โดยเฉพาะจากแชทบอท มากกว่าคนที่ไม่ได้ใช้ AI ถึง 43%
ความเป็นส่วนตัวในยุคดิจิทัล
ในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญ โทรศัพท์มือถือกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คนไทยเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ความบันเทิง สร้างรายได้ และโอกาสทางการศึกษา อย่างไรก็ตาม 3 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถาม รู้สึกว่า ตัวเองไม่สามารถควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลบนโลกออนไลน์ได้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
คนไทยกว่า 60% รู้สึกตื่นเต้นกับความสามารถของ AI และเชื่อว่า AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของอุปกรณ์มือถือ แม้แต่กลุ่มคนที่กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว ก็ยังคงเชื่อมั่นในประสิทธิภาพและประโยชน์ของ AI โดย 51% คาดหวังว่า อุปกรณ์มือถือที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะช่วยยกระดับความปลอดภัย และปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลได้ดียิ่งขึ้น
ปลดล็อกศักยภาพ AI ในที่ทำงาน
โดกรา กล่าวเสริมว่า แม้คนไทยจะตื่นเต้นกับ AI แต่การนำ AI มาใช้ในที่ทำงานยังมีสัดส่วนน้อย ซึ่งอาจเป็นเพราะความกังวลว่า AI จะเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ ดังนั้น องค์กรต่างๆ ควรส่งเสริมให้พนักงานพัฒนาทักษะ และเรียนรู้การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ
ตัวอย่างเช่น ทรู คอร์ปอเรชั่น เป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายแรกในประเทศไทยที่นำกรอบการทำงาน “GSMA Responsible AI Roadmap” มาใช้ ซึ่งเป็นแนวทางการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบที่พัฒนาขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการระดับโลก
3 ประเด็นสำคัญจากรายงาน Digital Lives Decoded ดังนี้
- คนไทยใช้ชีวิตแบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ: คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือในชีวิตประจำวันมากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
- ความท้าทายด้านความเป็นส่วนตัว: แม้จะมีความตระหนักรู้ด้านดิจิทัลเพิ่มขึ้น แต่คนไทยยังคงเผชิญความท้าทายในการรักษาความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์
- ศักยภาพของ AI ในที่ทำงาน: คนไทยตื่นเต้นกับ AI แต่ยังไม่นำมาใช้ในที่ทำงานอย่างเต็มที่
มานิชา กล่าวทิ้งท้ายว่า เทเลนอร์ เอเชีย มุ่งมั่นที่จะรับฟังความคิดเห็นของลูกค้า เพื่อนำมาพัฒนาบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการ และสนับสนุนให้คนไทยเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างปลอดภัย
#TelenorAsia #DigitalLivesDecoded #AI #Cybersecurity #PrivacyParadox